“สวนผักโอ้กะจู๋” กำลังเตรียมความพร้อม เพื่อจะขยายตามคำเรียกร้องของคุณลูกค้า และเราจะพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งครับ ขอขอบคุณครับ
พวกผม “อู๋ กะ โจ้” สมัยอยู่มัธยมปลาย ได้มีโอกาสได้ไปทัศนศึกษาที่ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการทัศนศึกษาในครั้งนั้นทำให้พวกเราเกิดความสนใจอย่างยิ่งที่อยากจะผสมผสานเกษตรสมัยใหม่กับวิธีการเกษตรแบบดั้งเดิมเข้าด้วยกัน และด้วยการที่พวกเราเติบโตมาจากครอบครัวที่ประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นต้นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้พวกเราเกิดแรงบันดาลใจที่จะลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรร่วมกัน ซึ่งหลังจากที่พวกเราจบมหาวิทยาลัยแล้ว ใครจะรู้ว่าความฝันเพี้ยนๆ ของเด็กมัธยมปลายอย่างพวกเราจะเป็นจริงเข้าซักวันหนึ่ง...
เมื่อจบมัธยมปลาย ผม “โจ้” ตัดสินใจที่เข้าศึกษา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีความตั้งใจที่จะเก็บเกี่ยวความรู้ และประสบการณ์ เพื่อนำไปใช้ในวิชาชีพที่ตัวเองใฝ่ฝัน ผมตั้งใจศึกษาเล่าเรียน จนจบการศึกษาปริญญาตรี ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับ 1 (เหรียญทอง) หลังจากจบการศึกษาแล้วได้ร่วมมือกับ “อู๋” เพื่อทำการปลูกผักทันที โดยมีอุดมการณ์หลักที่เห็นร่วมกันว่าจะ ปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์ วิธีธรรมชาติ โดยการออกแบบ และจัดการฟาร์มโดยที่ไม่พึ่งพาสารเคมีใดๆ คำนึงถึง ผืนดิน ผลิตผล ระบบนิเวศ ครอบครัว และชุมชน พวกเราเริ่มจากปลูกผักสวนครัวทั่วไป และผักสลัดบางชนิด บนพื้นที่ปลูกที่ไม่มากนัก ผลผลิตที่ได้ก็จะนำไปประกอบอาหารรับประทานกันในครอบครัว ด้วยเหตุผลที่ว่า “เราอยากให้คนในครอบครัวมีสุขภาพดีไม่อยากให้ครอบครัวได้รับสารพิษและสารเคมีตกค้าง” จึงเป็นที่มาของสโลแกน “ปลูกผักเพราะรักแม่” เพราะแม่เปรียบเสมือนตัวแทนความรักของครอบครัว ทุกกระบวนการผลิต เราทำด้วยความตั้งใจ และใจรักตั้งแต่ขั้นตอนหมักปุ๋ยอินทรีย์ ที่ได้นำเศษใบไม้ หรือวัสดุต่างๆ ที่สามารถนำกลับมาทำเป็นปุ๋ยได้ เช่น เศษผักออร์แกนิค กิ่งไม้ ซังข้าวโพด โดยทำ “ปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกอง” ซึ่งเราได้รับความกรุณา จากท่าน ผศ.ธีระพงษ์ สว่างปัญญางกูร ที่ได้ให้ความรู้ และสอนวิธีการทำปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกองแก่เรา เราเอาใจใส่มากในทุกๆ ขั้นตอนเป็นพิเศษ อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนเพาะเมล็ด การย้ายต้นอ่อน การรดน้ำ และเก็บเกี่ยวผลผลิตทั้งหมดนี้เราทำการเกษตร ที่เรียกว่า เกษตรอินทรีย์ (Organic agriculture)
ต่อมาเราได้กำลังเสริมจากเพื่อนของพวกเราสมัยมัธยม “ต้อง” ซึ่งจบการศึกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่มีความรู้ทางด้านเครื่องจักรต่างๆ และวิธีการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ มาร่วมหุ้นกับพวกเรา เพื่อเป็นกำลังเสริมในการช่วยกันผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและได้ปริมาณที่มากขึ้น พวกเราเริ่มจากการสร้างโรงเรือนขนาดเล็กมีพื้นที่ 6 x 30 เมตร สำหรับปลูกผักสวนครัว และผักสลัด แต่เนื่องด้วยในฤดูฝนของ ปี 2553 เราประสบกับวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ ทำให้โรงเรือนของเราได้รับความเสียหายบางส่วน และไม่สามารถทำการเพาะปลูกผลผลิตได้นาน เราจึงทำการซ่อมแซม เพื่อให้กลับมาปลูกผลผลิตได้ใหม่ แต่ในช่วงฤดูร้อนของ ปี 2554 เราได้เจอกับวิกฤตที่ร้ายแรงอีกครั้ง ครั้งนี้ทำให้โรงเรือนล้มระเนระนาด ไม่สามารถเพาะปลูกได้อีก แต่เราก็ไม่ยอมแพ้ เราตัดสินใจก่อสร้างโรงเรือนขึ้นใหม่อีก 2 หลัง โดยใช้วัสดุแบบผสมผสานระหว่างไม้สักและเหล็กที่มีความแข็งแรงมากขึ้น
เราจึงคิดต่อยอดผลผลิตของเรา ซึ่ง “อู๋” มีความชอบในการทำอาหาร เราจึงสร้างคาเฟ่เล็กๆ สำหรับคนรักสุขภาพโดยเน้นเมนูสลัดออแกนิคจากสวนของเรา เสิร์ฟคู่กับน้ำสลัดโฮมเมด สูตรคุณแม่ รวมถึงเครื่องดื่มจากเมล็ดกาแฟ และชาที่เป็นออแกนิค โดยมี คอนเซ็ปต์ว่า From farm to table โดยเราเริ่มให้บริการในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 จากเดิมที่เราปลูกผักให้รับประทานแค่คนในครอบครัว เมื่อมีผลผลิตเพิ่มขึ้น เราเริ่มแจกจ่ายให้แก่เพื่อนบ้านและคนรู้จัก และค่อยๆ ส่งขายให้กับร้านอาหารทั่วเชียงใหม่ แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากร้านอาหารที่สนใจมีไม่มากนัก เพราะผักของเรามีราคาสูง และผักที่เราปลูกได้ มีผลผลิตมีปริมาณน้อยกว่า หากเทียบกับผักที่ปลูกโดยใช้สารเคมีส่งผลทำให้ต้นทุนของผักออร์แกนิคมีราคาสูงกว่า แต่เราก็ยังไม่ท้อ เพราะเรามีความหวังและความตั้งใจอยากจะให้คนเชียงใหม่ได้รับประทานผักที่ปลอดสารเคมี และปราศจากยาฆ่าแมลง อีกทั้งเราเชื่อมั่นว่าเราเดินมาถูกทางแล้วเพียงแต่เราต้องใช้ความอดทนและระยะเวลาในการพิสูจน์ตัวเองเท่านั้น
Now ปัจจุบันได้มีการพัฒนาร้าน และขยับขยายพื้นที่ปลูกผักเพิ่มขึ้น โดยเราได้เพิ่มโรงเรือนสำหรับปลูกผัก กับโรงเรือนระบบหมุนเวียนอากาศ ( Evaporative cooling system )ที่สามารถปลูกผักที่ปราศจากสารเคมีและยาฆ่าแมลงซึ่งหารับประทานทานได้ยาก เช่น ผักคะน้าออร์แกนิค กะหล่ำปลีออร์แกนิค อีกทั้งยังสามารถลดอุณหภูมิในโรงเรือน ซึ่งทำให้สามารถเพิ่มคุณภาพของผลผลิตได้ โดยพื้นที่ ที่ใช้ในการปลูกผักทั้งหมดนี้ คือ สวนที่ 1 “สวนผักแห่งศรัทธา” มีพื้นที่ขนาด 12 ไร่ บริเวณด้านหลังของที่ตั้ง คาเฟ่ สาขาแรก สวนที่ 2 “สวนปลูกผักเพราะรักแม่” ที่มีพื้นที่ขนาด 8 ไร่ ซึ่งเดิมเคยเป็นพื้นที่ ที่ปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่ออร์แกนิคอยู่แล้วเป็นเวลา 2 ปี จึงทำให้เราสามารถปลูกผักสลัดออร์แกนิคได้ทันที เพื่อส่งสู่ครัวโอ้กะจู๋ และสวนที่ 3 “สวนปลูกผักเพราะรักพ่อ” ที่เราได้ขยายพื้นที่ในต้นปี 2558 บนพื้นที่ขนาด 50 ไร่ สำหรับเตรียมความพร้อมสู่ครัวโอ้กะจู๋ สาขา 2 (แอร์พอร์ต)
เราตั้งใจ และใส่ใจในอาหารทุกๆ จานแก่ลูกค้า โดยด้านอาหารเราได้ทำการปรับปรุงและพัฒนา 3 ด้าน ด้วยกัน ในด้านแรกคือ การใช้น้ำมันมะกอกในการประกอบอาหาร ซึ่งเราแบ่งเป็น 2 แบบ คือน้ำมันมะกอกที่ใช้ในอาหารประเภทผัดทั้งหมด และเป็นส่วนผสมของน้ำสลัดโฮมเมด อีกทั้งน้ำมันมะกอก ชนิด Extra Virgin สำหรับเสิร์ฟบนโต๊ะ ให้ลูกค้าได้รับประทานกับผักออร์แกนิคสดๆ ตัดใหม่จากสวนของเราทุกวัน ในด้านที่ 2 อาหารประเภท ของทอด เราเลือกใช้น้ำมันข้าวโพดที่มีจุดเดือดสูง เนื่องจากจุดเดือดที่สูงทำให้ยากต่อการเกิดควัน ( smoking point ) ซึ่งแตกต่างจากน้ำมันทั่วไป เมื่อใช้ไประยะหนึ่งจะทำให้เกิดควันในจุดเดือดปกติ ซึ่งทำให้น้ำมันที่ทอดเป็นอันตราย และเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็ง ส่วนในด้านที่ 3 ด้านการล้างผักเราได้สร้างห้องล้างผักด้วยระบบโอโซน ที่มีความสามารถในการฆ่าเชื้อโรค ทำให้ผักคงความสด กรอบมากกว่าปกติ และด้านเมนูผักสลัดเราได้มีเมนูให้เลือกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเราได้ปลูกผักสลัดมากกว่า 25 ชนิด จากสวนผักของเราเอง
ส่วนพืชผลชนิดอื่น ที่ปลูกได้ยากใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกมาก และต้องการอุณหภูมิต่ำ เช่น แตงกว่าญี่ปุ่น มะเขือเทศราชินี หน่อไม่ฝรั่ง ทางเราได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่มีใจรักในการประกอบอาชีพเกษตรกร(เกษตรอินทรีย์) เป็นผู้ส่งวัตถุดิบให้เรา ถึงแม้ต้นทุนของเราเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวแต่เราก็พยายามหาวัตถุดิบที่เป็นเกษตรอินทรีย์มากเท่าที่เราจะหาได้ เพื่อนำมาเสิร์ฟให้ลูกค้าผู้รักสุขภาพที่ได้มอบโอกาสให้ร้านของเราดูแลคุณ
To be continued พวกเรา 3 คน ดีใจและภูมิมาก ที่ได้เริ่มต้นทำความฝันของเรา เราจึงอยากจะขอบคุณลูกค้าทุกๆ ท่าน ที่ไว้วางใจและให้โอกาสเราได้ฝึกฝน สั่งสมประสบการณ์ ในการปลูก และสร้างพื้นที่เล็กๆสำหรับคนรักสุขภาพได้รับประทานอาหารที่เราตั้งใจทำ อีกทั้งใน ขณะนี้เราก็ได้ส่งมอบโอกาสให้กับเด็กๆ นักศึกษาฝึกงาน ที่ใช้เวลาว่างเพื่อหารายได้และสั่งสมประสบการณ์ ได้ร่วมทำงานกับเรา โดยคิดเป็น 3 ใน 4 ส่วนของพนักงานของทั้งหมด อีกทั้งในอนาคตอันใกล้ เรามีโครงการที่จะทำศูนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีเกษตรอินทรีย์ ให้แก่นักเรียน นักศึกษาและผู้ที่สนใจ ซึ่งเราได้เตรียมความพร้อมในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านการจัดการในสวนด้วยระบบอัจฉริยะ (Smart farm) ซึ่งสามารถควบคุม อุณหภูมิ ประมาณการจ่ายน้ำ ตามสภาพอากาศ ผ่านระบบอัตโนมัติ หรือการปลูกผักแบบวิถีเกษตรอินทรีย์ อีกทั้งในอนาคตเราจะเป็นจุดศูนย์รวมที่จะจำหน่ายผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค และเปิดโอกาสให้แก่เกษตรกรผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันได้นำผลผลิตทางการเกษตร มาจำหน่ายที่ร้าน โดยเราหวังว่า เราจะเป็นจุดเล็กๆ ที่จะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดียิ่งขึ้น...
“สวนผักโอ้กะจู๋” กำลังเตรียมความพร้อม เพื่อจะขยายตามคำเรียกร้องของคุณลูกค้า และเราจะพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งครับ ขอขอบคุณครับ